วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เที่ยว...น้ำตกวังตะไคร้...จังหวัดนครนายก...เด้อจร้า


น้ำตกวังตะไคร้ อ.เมือง จ.นครนายก
          ข้อมูล ตั้งอยู่ที่ตำบลหินตั้ง ใกล้กับน้ำตกนางรอง น้ำตกวังตะไคร้เป็นของกรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิ์พินิจ และหม่อมราชวงศ์หญิงพันธุ์ทิพย์บริพัตร เป็นอุทยานที่ได้รับการตกแต่งด้วยพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับนานาพันธุ์ในเนื้อที่ 1,500 ไร่ มีถนนให้นำรถยนต์เข้าชมในบริเวณได้ เปิดรับนักท่องเที่ยวทั่วไปทั้งประเภทเช้าไปเย็นกลับ และประเภทค้างแรม ค่าบริการ นักท่องเที่ยวเดินเท้า คนละ 10 บาท รถยนต์ รถกระบะ รถตู้ รถสองแถว คันละ 100 บาท (ผู้โดยสารไม่เกิน 4 คน) มากกว่า 4 คน คิดเพิ่มตามจำนวนคนๆ ละ 10 บาท รถบัส คนละ 10 บาท รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ที่ http://www.wangtakrai.com การเดินทาง อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 16 กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข 3049 สถานที่ท่องเที่ยว จ.นครนายก



ประวัติความเป็นมาของวังตระไคร้
          มูลนิธิฯ ขอนำข้อเขียนของ ม.ร.ว.พันธุ์ทิพย์ บริพัตร ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดวังตะไคร้ร่วมกับพระสวามี คือ พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิต หรือ “เสด็จในกรมฯ” ที่ได้เขียนไว้ในหนังสือ “วังตะไคร้” จัดพิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานประดิษฐานพระรูป พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิต ณ วังตะไคร้ เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2506 มาให้ท่านอ่านเพื่อให้ทราบถึงจุดกำเนิดวังตะไคร้
         
           “เมื่อประมาณ 15 ปี มานี้... เสด็จในกรมฯ ข้าพเจ้า และเพื่อนฝูงได้มีโอกาสไปเที่ยวน้ำตกสาริกา โดย พระนิกรบดี รองปลัดกระทรวงมหาดไทย และขุนสนิทประชากร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก เป็นผู้พาไป เวลานั้นถนนจากตัวเมืองนครนายกถึงน้ำตกยังไม่มี พวกเราต้องนั่งเรือยนต์เผาหัวแล่นขึ้นลำแม่น้ำนครนายกคดเคี้ยวไปมา 3 ชั่วโมง จากนั้นขึ้นบกตรงวัดเขานางบวช เรารับประทานอาหารกลางวันที่นั่น ขุนสนิทประชากรจัดช้างมารับหลายเชือก ข้าพเจ้าเห็นกูบช้างเป็นโครงไม้ครอบอยู่บนหลังช้าง จึงขอสมัครเดินมากกว่า คนอื่น ๆ ก็พลอยสมัครเดินตามข้าพเจ้าด้วย เลยไล่ช้างกลับ พวกเราเดินข้ามทุ่งนาไปทางเดียวกันกับทางช้างเดิน เป็นเหตุให้บางคนพลัดตกลงไปในลุ่มรอยเท้าช้าง จึงเป็นเรื่องขบขันให้ล้อกัน เดินต่อมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เราก็พยายามเช่าเกวียนเพื่อเดินทางต่อ ควายได้กลิ่นคนแปลกหน้าก็ดื้อไม่ยอมให้เทียม สักพักหนึ่งจึงเทียมได้ มีบางคนนั่งเกวียน บางคนก็เดิน ถึงน้ำตกระยะทางราว 10 กิโลเมตร ตอนนั้นน้ำตกสาริกาเป็นที่รู้จักของชาวบ้านแถบนั้นเท่านั้น ยังสะอาดสวยงามตามธรรมชาติ
พวกเราพักสักครู่ก็ลงอาบน้ำในอ่างใสแจ๋วเย็นชื่นใจ ขากลับฝนตกหนักเล่นเอาพวกเราเปียกโชกไปหมด คนขี้หนาวตัวสั่นเป็นลูกนก เพื่อนคนหนึ่งหมดแรงถึงกับหล่นลงมาจากเกวียน กว่าจะเดินทางกลับมาลงเรือก็พลบค่ำ เคราะห์ดีเรือมีไฟฉายใหญ่สามารถเดินทางกลางคืนได้ ขากลับเรือแล่นเร็วกว่าขาไปเพราะตามน้ำ ถึงที่พัก ณ จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายกประมาณ 4 ทุ่มเศษ จึงรับประทานอาหารค่ำและหลับไหลด้วยความอ่อนเพลีย

          

          การเดินทางครั้งนี้ นอกจากสนุกสนานตาม ๆ กันแล้ว ข้าพเจ้าตื่นเต้นทิวทัศน์ตำบลสาริกามาก บริเวณนั้นเต็มไปด้วยเขา ต้นไม้ใหญ่ และธารน้ำใส ข้าพเจ้าทราบว่า ทางจังหวัดได้มีโครงการตัดถนนจากตัวเมืองนครนายกไปยังน้ำตกสาริกาอยู่แล้ว ต่อไปการไปมาก็คงไม่ยากเช่นนี้ ข้าพเจ้าจึงอ้อนวอนเสด็จในกรมฯ ให้ทรงซื้อที่ดินแถบนั้นสำหรับปลูกที่พักตากอากาศ
ความจริงบริเวณนั้นยังเป็นที่เปลี่ยวไม่น่าอยู่ สัตว์ร้ายเช่นช้างป่าและหมีก็ชุกชุม ข้าพเจ้ายังได้พบชายชาวบ้านคนหนึ่งหน้ายุบเพราะโดนหมีตบ แต่เราก็เลือกซื้อได้ที่ริมห้วย ตรงข้ามวัดหมู่บ้านสาริกา ซึ่งขณะนั้นเรียกว่า “วัดคีรีเมฆลา” พอเราปลูก “ตำหนัก” ในที่ ๆ เสด็จในกรมฯ ทรงซื้อเสร็จเรียบร้อย พระครูเจ้าอาวาสจึงเปลี่ยนชื่อเป็น “วัดตำหนัก” เพราะหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งเคยไปเที่ยวกับเราบ่อย ๆ ทักท้วงว่า “คีรีเมฆลา” มีความหมายไม่ดี คือ เป็นชื่อช้างที่พระยามารขี่


          

          ที่ดินผืนที่เราซื้อและปลูกตำหนักนี้ติดคลองสาริกา แต่คลองตอนนี้ไกลน้ำตก จึงไม่มีก้อนหินใหญ่ ๆ ทั้งพื้นดินก็เป็นทรายปนโคลน บางครั้งเล่นน้ำพวกเราถูกปลิงเกาะตาม ๆ กัน ข้าพเจ้าพยายามจะสร้างแก่งขึ้น โดยให้คนงานขนหินจากที่อื่นมาทุ่มลงไปในคลอง แต่ก็ไม่เป็นผล บ้านที่สร้างขึ้นต่อมาก็คับแคบสำหรับพวกเรา เพราะมีสมาชิกมาร่วมมากขึ้นทุกที จึงได้แต่เพียงอาศัยนอนเท่านั้น รับประทานอาหารเช้าแล้วออกไปเที่ยวตามเขาตามห้วย เดินกันทั้งวันก็มี โดยมีข้าวห่อเป็นเสบียงติดไป และดื่มน้ำตามลำธาร ถ้าเดินไกลหลายวันก็มีลูกหาบขนของและเต็นท์นอนไปด้วย ครั้งแรกปีนขึ้นไปบนเขาใหญ่ สมัยนั้นไม่มีถนนขึ้นไป เที่ยวเดินอยู่ 5วัน กลางคืนนอน รุ่งเช้าก็ย้ายแค้มป์และเดินต่อไปเช่นนั้นทุกวัน ครั้งหนึ่งเราไปถึงน้ำตกนางรองซึ่งเวลานั้นยังไม่มีใครรู้จัก น้ำตกนี้งามเหลือเกิน เหมือนสวนญี่ปุ่นที่จัดไว้โดยบังเอิญ ไม่มีบังกาโล เสาไฟฟ้าคอนกรีตรอบอ่างน้ำ น้ำตกในนครนายกมีมากพวกเราพยายามเดินไปทุกแห่งเพราะรักในการท่องเที่ยวแบบนี้ คราวหนึ่งไปน้ำตกเหวกฐินต้นน้ำคลองมะเดื่อ เราไม่ได้เอาเต็นท์ไปด้วย เพราะกะจะอาศัยอยู่ในถ้ำ เนื่องจากฝนตกทั้งวัน เมื่อไปถึงถ้ำน้ำท่วมเสียแล้ว เลยต้องปีนไปในที่สูง ตัดต้นกล้วยป่าทำเป็นเพิงนอน ดีที่ครั้งนี้เสด็จในกรมฯ ไม่ได้เสด็จไปด้วย พวกที่ไปกัน 7 คน เป็นไข้มาลาเรียทั้งหมด นอกจากข้าพเจ้าและกำนันผู้ซึ่งนำทาง กำนันคนนี้ไม่ได้รับประทานยาป้องกันไข้ แต่มีความต้านทานเพราะเคยชิน คนอื่นรับประทานกันไปก่อนเดินทางแล้ว น้ำตกเหวนรกอีกแห่งหนึ่งไกลมาก ต้องเดินทั้งวันค้างคืนกลางทางและอีกครึ่งวันจึงถึง บริเวณเป็นครกหินใหญ่ น้ำตกสูงมาก สวยแต่ดูน่ากลัว ในป่าแถวนี้พบรอยช้างป่าเสมอ ผู้นำทางเล่าว่า เคยเผ่นหนีปีนขึ้นไปค้างคืนบนต้นไม้ คราวนี้เคราะห์ดีที่ไม่เจอ น้ำตกที่สวยที่สุดคือ น้ำตกแม่ปล้อง มีน้ำตกลงอ่างใหญ่ ๆ หลายชั้น เดินจาก วังตะไคร้ก็เพียงสามชั่วโมงเท่านั้น
       
 

            สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เสด็จเยือนอุทยานวังตะไคร้
การไปเที่ยวน้ำตกต่าง ๆ ของจังหวัดนครนายกเป็นเหตุให้เจอ “วังตะไคร้” เพราะเป็นสถานที่ที่พวกเราต้องผ่านไป-มา เกือบทุกครั้ง ข้าพเจ้าชอบลงเล่นน้ำตรงนั้นเสมอ แม้ว่าในขณะนั้นจะเห็นไม่ได้เลยว่า พื้นที่เป็นอย่างไร เพราะปกคลุมไปด้วยต้นอ้อและหญ้าคา รกจนเดินสำรวจไม่ได้ แต่ข้าพเจ้าก็ชอบแก่งตรงนั้นเสียจริง ๆ น้ำใส หินใหญ่ ไม่มีปลิงเหมือนห้วยที่สาริกา ต่อมาจึงซื้อที่ดินบริเวณวังตะไคร้นี้จากชาวบ้านเอาไว้สำหรับเที่ยวเล่นและว่ายน้ำต่อมาอีก 3 ปี ถนนจากหมู่บ้านสาริกาไปนางรองได้ผ่านวังตะไคร้แล้ว เราจึงปลูกบ้านพักใหญ่ใกล้ลำธารบริเวณวังตะไคร้ และย้ายจากสาริกาไปอยู่ที่นั่น บ้านสาริกาพร้อมด้วยสวนผลไม้ที่ปลูกสร้างขึ้น ได้ยกให้แก่กระทรวงสาธารณสุขเพื่อเป็นสถานีอนามัยตำบลสาริกา จากนั้นเราได้ซื้อที่บริเวณวังตะไคร้เพิ่มเติมทีละแปลงสองแปลงจนจดเขา และได้ตบแต่งปรับปรุงบริเวณวังตะไคร้จนเป็นอย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้”
         

           ม.ร.ว.พันธุ์ทิพย์ บริพัตร หรือ “คุณท่าน” ใช้เวลากว่า 10 ปี ในการหักร้างถางพง วางแผน จัดสถานที่ และปรับสภาพจากป่าซึ่งอุดมด้วยต้นไม้ใหญ่ ต้นอ้อและหญ้าคา มาเป็นสนามหญ้านวลน้อยอันเขียวสด โดยมีเสด็จในกรมฯ ทรงเป็นผู้สนับสนุนการดำเนินงานเรื่อยมา เพราะพระองค์ทรงทราบว่า วังตะไคร้เป็นสถานที่ที่"คุณท่าน"สร้างขึ้นจากความฝันซึ่งมีมาแต่วัยเยาว์ อีกทั้ง 2 พระองค์ ทรงโปรดสถานที่แห่งนี้มาก จึงใช้เป็นที่ประทับพักผ่อนส่วนพระองค์และญาติมิตรบ่อยครั้ง
เสด็จในกรมฯ สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2502 "คุณท่าน"ทราบดีว่าเสด็จในกรมฯ ทรงโปรดวังตะไคร้มาก จึงได้ทุ่มเทกำลังกายและกำลังทรัพย์ปรับปรุงสถานที่ให้งดงามยิ่งขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่พระองค์ พร้อมทั้งได้นำพระรูปเสด็จในกรมฯ มาประดิษฐานในวังตะไคร้ด้วย นอกจากต้องการให้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจแล้ว คุณท่านยังได้รวบรวมพันธุ์ไม้ต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งการสั่งซื้อและการแลกเปลี่ยนด้วยความเอื้อเฟื้อของนักเล่นต้นไม้บ้าง นำมาปลูกใน วังตะไคร้โดยหวังให้เป็นสถานที่ให้ความรู้ทางด้านพฤกษศาสตร์ และได้เริ่มเปิดวังตะไคร้ให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมเมื่อปี พ.ศ. 2505
          

          “ในที่สุดข้าพเจ้าหวังว่า สถานที่วังตะไคร้ซึ่งเสด็จในกรมฯ และข้าพเจ้าฝังจิตใจไว้จะเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจอันถาวรสร้างความสดชื่นสนุกสนานรื่นเริง พร้อมทั้งความรู้ทางพฤกษศาสตร์แก่ทุกท่านตลอดไปชั่วกาลนาน”
      
                   

                                   





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น